วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การถ่ายภาพย้อนแสง

การถ่ายภาพย้อนแสง

ทำไมเราต้องถ่ายภาพย้อนแสง

เทคนิคการถ่ายย้อนแสงขั้นเทพ

สมัยก่อนนี้ เราเคยได้ยินแต่คนสอนว่า "อย่าถ่ายย้อนแสง" หรือ "ย้อนแสงแล้วหน้ามืด" . . . อันนี้เป็นความจริงหรือไม่ . . .

ในระยะ 10 ปีให้หลังที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่ผมมาเล่นกล้องและถ่ายภาพอย่างจริงจังแล้ว กลับพบว่า ภาพที่สวย ๆ น่าสนใจของเรา ส่วนมากกลับมาจากการถ่ายย้อนแสงแทบทั้งนั้นเลย!!!

ก่อนที่จะแนะนำวิธีการถ่ายย้อนแสง จะพูดถึงข้อดีของศาสตร์แห่งการย้อนแสงเสียก่อน

ภาพแสงนุ่ม ๆ ธรรมดา ไม่ย้อนแสง ถ้าจัดองค์ประกอบไม่ดี สังเกตว่า สีผมจะจมหายไปเลย คำว่า "จม" หรือ "ภาพจม" แปลว่าผมของตัวแบบนั้น ถูกกลืนไปกับฉากหลัง แล้วทำให้ไม่โดดเด่นครับ

ส่วนภาพย้อนแสงอาทิตย์ หรือแสงแฟลช (โดยการนำแฟลชไปไว้ข้างหลัง) ผมจะเป็นสีทอง เปล่งประกายงดงามอย่างยิ่ง


คราวนี้ เราจะมาคุยกันถึงข้อดีของการถ่ายภาพย้อนแสงครับ

อย่างแรกก็คือ ทำให้เกิดริมไลท์ (ประกายตัดขอบ) ที่ผม หรือที่แขน ถ้าถ่ายดีๆ อาจชัดจนเห็นเส้นขนที่แขนหรือที่หน้าเลยนะครับ

อย่างที่สองทำประกายตาได้ (ใช้รีเฟลกเตอร์ หรือแฟลชเพื่อยิงขึ้นฟ้าผ่านแผ่นสะท้อน) ทำให้ตาของตัวแบบนั้นมีจุดสีขาว ดูแล้วมีชีวิตชีวาเพื่อขึ้นมากทีเดียว

อย่างที่สามคือ การถ่ายย้อนแสง ทำให้เกิดโบเก้ (Bokeh) ได้อย่างสวยงาม ทำให้ภาพเรา ดูแตกต่างจากคนอื่น ที่ส่วนมากมักจะถ่ายตามแสงอาทิตย์

อย่างต่อมาคือ สามารถเล่นแสงเงาบนใบหน้าได้  (เลือกมุมเอา) บางมุม อาจทำให้เกิดแฟลร์ (ซึ่งบางทีฟลุ้ค ๆ ก็ได้ภาพที่เก๋ไปอีกแบบ)

ข้อดีอีกอย่างคือ สร้างริมไลท์ (แสงขอบ) ที่เส้นผม ทำให้ผมแลดูเป็นสีทอง สวยงาม ไม่จมหายไปกับฉากหลัง เวลานำภาพไปโชว์เพื่อน คนอื่นจะชมว่าภาพสวย

เวลาที่เหมาะสมในการถ่ายภาพย้อนแสง และลักษณะการถ่ายที่เหมาะสม

  • ช่วงเช้า ๆ -  ช่วงเย็น ๆ ---- เหมาะกับการถ่ายภาพคน หรือถ่าย Portrait
  • ช่วงดวงอาทิตย์ใกล้ตก หรือลับขอบฟ้าไปแล้วนิดหน่อย ---- ถ่ายซิลลูเอ็ต (Silhouette คำนี้ไม่ออกเสียงตัว H ครับ) หรือถ่าย HDR (High Dynamic Range) ซึ่งก็คือภาพที่เก็บได้ทั้งแสงสีของท้องฟ้า และแสงของฉากหน้า

สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการถ่ายย้อนแสง

- ถ้าใช้ f แคบ ๆ (หรือหมุน f ไปที่ตัวเลขมาก ๆ เช่น f 22) จะเกิดแสงแฉก
- ถ้าใช้ f กว้าง ๆ  (หรือหมุน f ไปที่ตัวเลขน้อย ๆ เช่น f 1.4, 1.8) จะเกิดโบเก้ (ต้องให้แสงทะลุใบไม้เข้ามาหาเลนส์กล้อง) โบเก้จะกลม หรือเป็นเหลี่ยม ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเปิดรูรับแสงที่เท่าไหร่


วิธีการถ่ายย้อนแสง

ถ้าเราถ่ายย้อนแสงแบบกดชัตเตอร์ลูกเดียว ไม่ได้ปรับค่ากล้องอะไรเลย รับรองได้เลยครับ ภาพเรามีโอกาสสวยยากครับ ดังนั้นการย้อนแสง ต้องมีศิลป์ในการย้อนแสงด้วย โดยที่ผมจะค่อย ๆ เขียนอธิบายไปเรื่อย ๆ นะครับ อาจยาวหน่อย . . .

หากถ่ายภาพคน (Portrait) โดยย้อนแสงในช่วงเช้า ช่วงเย็น หรือช่วงที่มีแสงอาทิตย์ ให้ใช้รีเฟลกเตอร์ หรือแฟลชก็ได้ (แต่ถ้าใช้รีเฟลกเตอร์หรือแผ่นสะท้อนแสง ภาพจะออกมาสวยกว่า) ไม่ว่าจะเป็นรีเฟลกเตอร์จริง ๆ (ซึ่งต้องให้อีกคนช่วยถือ หรือแขวนบนอะไรซักอย่าง) หรือรีเฟลกเตอร์ธรรมชาติ (หาเอาแถวนั้น โดยอาจเป็นผนังสีขาว ๆ หรืออะไรที่สะท้อนแสงแถวนั้นก็ได้) หรือแม้แต่ใช้ตัวเราเองเป็นรีเฟลกเตอร์ (โดยการใส่เสื้อสีขาว) ก็สามารถที่จะทำได้นะครับ สังเกตไหมครับว่า ช่างภาพส่วนใหญ่ มักจะใส่เสื้อสีขาว 5 5 5 เพื่อใช้เป็นรีเฟล็กเตอร์ธรรมชาตินั่นเอง

การถ่ายในลักษณะนี้ บริเวณลูกตาดำของตัวแบบ จะมีประกายสีขาวติดมาด้วย และใบหน้าของตัวแบบก็จะไม่มืด ทำให้เราได้ภาพที่แตกต่างจากภาพที่กดชัตเตอร์มั่ว ๆ และภาพที่ได้จะออกมาสวยงามเป็นพิเศษ

ส่วนในกรณีที่ไม่สามารถใช้รีเฟล็กเตอร์ได้ ที่จำเป็นต้องใช้แฟลช ก็ให้ยิงแฟลชในลักษณะที่เป็นการฟิลแฟลชเบา ๆ ไม่ต้องยิงแรงนะครับ (ถ้ายิงแรง เดี๋ยวหน้าขาววอก ซึ่งนางแบบไม่ชอบ ดีไม่ดีอาจโดนตำหนิได้) หรือทางที่ดี ให้ยิงแฟลชสะท้อนกับอะไรซักอย่างก่อน แล้วค่อยชิ่งเข้าหาหน้านางแบบอีกที จะดีที่สุด

ถ้าหลังตัวแบบหรือคนที่เราจะถ่ายนั้นมีต้นไม้ (ที่มีใบเยอะ ๆ) แล้วแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาตามรูของใบไม้และกิ่งไม้ ให้หาบริเวณที่แสงลอดเข้ามาเป็นลำเล็ก ๆ แล้วให้เปิดรูรับแสงกว้างสุดเลย หมายถึงหมุนค่า  f ให้เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดเลย เท่าที่จะสามารถหมุนได้ (เพื่อที่เราจะทำโบเก้กลม ๆ) แล้วถ่ายย้อนแสง โดยให้ด้านหลังตัวแบบเป็นแสงที่ลอดช่องใบไม้พุ่งตรงเข้ามายังกล้องของเรา เพียงเท่านี้ เราก็จะได้โบเก้สวย ๆ แล้ว ส่วนการใช้รีเฟลกเตอร์ จะทำแบบข้อ 1 ก็ได้ หรือจะปรับกล้องเป็นโหมดแมนนวล (โหมด M) แล้วใช้ระบบวัดแสงเฉพาะจุด แล้วล็อคค่าแสงที่ใบหน้าตัวแบบเลยก็ได้ ในกรณีนี้ ไม่ต้องใช้รีเฟล็กเตอร์ก็ได้ ภาพที่ออกมา นางแบบก็จะหน้าไม่ดำ ไม่มืดแล้ว (แต่ตาไม่มีประกาย) ผมแนะนำว่า ถ้าทำได้ ให้ใช้รีเฟล็กเตอร์ หรือแฟลช (ใช้วิธีการชิ่งแฟลช) จะดีกว่ามาก

เรื่องของการใช้แฟลชในการถ่ายภาพ เป็นศิลป์การถ่ายที่ยาวมาก มีการใช้ลูกเล่น และเทคนิคมากมาย จนผมต้องทำเป็นอีกหลายหัวข้อเลย เกี่ยวกับการใช้แฟลช ให้ภาพออกมาสวยในอีกระดับหนึ่งครับ ยังไงก็สามารถติดตามกันได้ที่เว็บไซต์ของผมครับ http://web.suaythep.com/

หากเป็นการถ่ายโดยให้ดวงอาทิตย์อยู่หลังตัวแบบตรง ๆ หรือดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งประมาณ 30 - 45 องศา จะทำให้เห็นไรขนที่คอ หรือที่แขนชัดเจนเป็นสีทอง ซึ่งปกติการถ่ายตามแสงจะไม่สามารถทำเอฟเฟ็กต์นี้ได้ ก็ต้องพิจารณาดูว่า การใช้เอฟเฟ็กต์นี้จะทำให้สวยขึ้น หรือน่าเกลียดขึ้น อันนี้แล้วแต่ความชอบ แล้วก็แล้วแต่สถานการณ์ด้วยครับ บางคนชอบให้ขนเกลี้ยง ๆ ส่วนบางคนถ้าเราถ่ายภาพให้เห็นไรขน เขาจะชอบมาก

ในกรณีที่ถ่ายวิว ขณะที่ดวงอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้าแล้ว การใช้ f แคบ ๆ ก็จะทำให้ดวงอาทิตย์กลายเป็นแสงแฉกได้อย่างสวยงาม โดยที่ไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์อะไรพิเศษช่วย สำหรับการถ่ายช่วงเวลานี้ นับเป็นนาทีทองของนักถ่ายภาพเลยก็ว่าได้ เพราะท้องฟ้าจะสวยที่สุด สามารถเล่นเทคนิคได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพแนวซิลลูเอ็ต (ภาพเงาดำ) ภาพ HDR (High Dynamic Range) ซึ่งถ่ายภาพตั้งแต่ 3 ภาพขึ้นไป แล้วนำมารวมกันด้วยซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นการเปลี่ยนสีท้องฟ้าด้วยการใช้เจลสี "Color Gel" คู่กับแฟลช

แสงแฉกจากแฟลช

เวลาถ่ายภาพย้อนแสงในช่วงดวงอาทิตย์ใกล้ตก หรือใกล้ลับขอบฟ้า (นั่นก็คือ ไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์มาสะท้อนรีเฟลกเตอร์) ก็ให้ใช้แฟลชแทน โดยการตั้งค่ากล้องโดยเก็บแสงฉากหลังที่เป็นท้องฟ้าสีสวย ๆ จากนั้นใช้แฟลชยิงเข้าใส่ตัวแบบ โดยปรับความแรง-เบาของแฟลชตามความเหมาะสม (คอยติดตามเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง จะมีการอธิบายอย่างละเอียดสุด ๆ เพราะทำได้หลายวิธีมาก แต่ถ้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้ไม่ยากครับ)

ยังไงช่วงหลัง ๆ นี่ผมชอบถ่ายภาพย้อนแสงเยอะมาก เดี๋ยวจะมาเขียนเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะครับ ทั้งการย้อนแสงจากดวงอาทิตย์ การสร้างแสงย้อนขึ้นมาเองจากแสงประดิษฐ์ หรือแฟลช เดี๋ยวค่อย ๆ เขียนไปเรื่อย ๆ ครับ

หมายเหตุ ** สิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง **

ขณะที่ถ่ายภาพ หรือหันกล้องเข้าหาดวงอาทิตย์ตรง ๆ ขณะแสงแรง ห้ามใช้ตามอง "เด็ดขาด" ตาอาจจะบอดได้ ต้องดูบนหน้าจอ LCD เท่านั้น ให้เปิด Live View แล้วจัดองค์ประกอบ ทำทุกอย่างจากบนหน้าจอ เหมือนกับที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพครับ

อันนี้เป็นเฟซบุ๊ค "สอนถ่ายภาพ" ของผมนะครับ
https://www.facebook.com/photohobbies/

ส่วนเว็บไซต์ของผมครับ
http://web.suaythep.com/


วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ทำไมท้องฟ้าตอนค่ำจึงสวย

พวกเราทุกคนที่เล่นกล้อง หรือชอบถ่ายภาพรู้ว่า การถ่ายท้องฟ้าให้สวยต้องถ่ายตอนใกล้ค่ำ เพราะจะได้ภาพท้องฟ้าที่มีสีสันสวยงาม


ทำไมท้องฟ้าตอนใกล้ๆ ค่ำหรือพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเล็กน้อย จึงมีสีสันสวยงาม คำตอบต้องมาเรียนรู้กับคำว่าการกระเจิงของแสงเสียก่อน

การกระเจิงของแสง

สีของท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา และตามตำแหน่งที่ตั้งของประเทศนั้น ๆ บางประเทศอยู่ในซีกโลกเหนือ บางประเทศอยู่แถบเส้นศูนย์สูตร โดยที่ตอนกลางวันท้องฟ้าบางประเทศจะเป็นสีฟ้าอ่อน บางประเทศเป็นสีน้ำเงิน ส่วนตอนเช้าและตอนเย็น ท้องฟ้าจะเป็นสีส้ม สีแดง ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการกระเจิงของแสง (Light Scattering)

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจก่อนว่า แสงจากดวงอาทิตย์ที่เดินทางมาถึงโลกเรานั้น ประกอบด้วยสเปกตรัมแสงสีต่าง ๆ มากมาย ซึ่งมีความยาวคลื่นไม่เท่ากัน โดยทั้งนี้ มีทั้งแสงที่มองเห็น และแสงที่มองไม่เห็น (ซึ่งก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั่นเอง) ขณะที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งก็คือแสงนั่นเอง ที่มาจากดวงอาทิตย์ตกกระทบโมเลกุลของอากาศ ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า มีการกระเจิงของแสง

การกระเจิงของแสง คือการที่แสงกระทบถูกอะตอมหรือโมเลกุลของอะไรก็ตาม แล้วถูกดูดกลืนพลังงานเข้าไป แล้วปล่อยออกมาใหม่ในทิศทางต่าง ๆ ด้วยความเข้มของแสงที่แตกต่างกัน . . จากนิยามนี้ บนดวงจันทร์ หรือในอวกาศ หรือสูญญากาศ จะไม่มีการกระเจิงของแสงนะครับ เวลาเราไปอยู่บนดวงจันทร์ ถึงแม้จะเป็นกลางวัน แต่ท้องฟ้าก็มืดสนิท จะสว่างก็เพียงแค่พื้นของดวงจันทร์เท่านั้นที่สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ออกมา

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการกระเจิงของแสง อย่างแรกที่จะคุยให้ฟังคือความยาวคลื่นของแสง โดยที่แสงสีน้ำเงิน ซึ่งมีความยาวคลื่นสั้น ส่วนแสงสีแดง มีความยาวคลื่นมากกว่า

ธรรมชาติแล้ว แสงที่มีความยาวคลื่นสั้น เกิดการกระเจิงได้ดีกว่าแสงที่มีความยาวคลื่นยาว พูดง่าย ๆ คือ แสงสีน้ำเงินกระเจิงง่ายกว่าแสงสีแดง อันนี้ผมขออธิบายเฉพาะแสงที่มนุษย์มองเห็นนะครับ

อย่างที่สองที่มีผลก็คือ ขนาดของอนุภาคในอากาศ ซึ่งในโลกนี้ อย่างแรกก็คือโมเลกุลของก๊าซในชั้นบรรยากาศซึ่งมีขนาดเล็ก ส่วนโมเลกุลของไอน้ำและฝุ่นควันต่าง ๆ ที่ลอยละล่องอยู่ในชั้นบรรยากาศมีขนาดใหญ่ ลองดูง่าย ๆ เราลองไม่กวาดบ้าน หรือเช็ดพวกเปียโน หรือเฟอร์นิเจอร์ซักวัน จะเห็นว่าฝุ่นจับเต็มไปหมด แต่เราแทบจะไม่เคยเห็นอากาศเลยใช่ไหมครับ เพราะว่าโมเลกุลของอากาศนั้นเล็กมาก ๆ ส่วนฝุ่นนั้น ถึงแม้จะเล็ก แต่ก็ยังใหญ่กว่าอากาศ

โมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ จะขัดขวางการเดินทางของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น คือแสงสีน้ำเงินนั่นเอง ดังนั้น วันที่มีฝุ่นมาก และวันที่มีฝุ่นน้อย สีของแสงที่เรามองเห็นจึงไม่เหมือนกัน ถ่ายรูปออกมาก็ไม่เหมือนกันนะครับ

ปัจจัยอีกอย่างคือ มุมที่แสงตกกระทบกับบรรยากาศบนโลก แสงอาทิตย์เวลากลางวัน ทำมุมฉากกับพื้นโลก ซึ่งมุมฉากนั้น ถือว่าเป็นระยะทางที่สั้นที่สุดที่แสงเดินทางจากนอกโลก ลงมาถึงพื้นโลก

พอเริ่มบ่าย มุมของแสงก็จะเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ระยะทางที่แสงเดินทางมาถึงพื้นโลกนั้นยาวขึ้น ในช่วงเช้าและช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกนั้น แสงอาทิตย์ทำมุมลาดกับพื้นโลก แสงต้องเดินทางผ่านอากาศและอนุภาคต่าง ๆ ในอากาศเป็นระยะทางยาวมาก เมื่อเทียบกับช่วงกลางวัน

ช่วงกลางวันในซีกโลกเหนือ แสงมีสีน้ำเงินสดมาก



เนื่องจากเวลากลางวัน แสงอาทิตย์ทำมุมฉากกับพื้นโลก แสงเดินทางผ่านบรรยากาศเป็นระยะทางสั้น อุปสรรคที่กีดขวางแสงมีน้อย แสงสีม่วง สีคราม และสีน้ำเงิน ที่มีความยาวคลื่นเล็กกว่าโมเลกุลของอากาศ จึงกระเจิงในท้องฟ้าในทุกทิศทาง เราจึงมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม

ในบริเวณที่มีมลภาวะทางอากาศน้อย เช่น ประเทศที่มีคนอยู่น้อย ๆ ในต่างประเทศ ริมทะเล หรือในชนบท หรือในซีกโลกเหนือ หรือในฤดูหนาวซึ่งมีความกดอากาศสูง ทำให้ฝุ่นลอยขึ้นไปไม่ได้ เราจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม 

ส่วนในบริเวณที่มีมลภาวะทางอากาศสูง หรือในฤดูร้อน หรือประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตร ซึ่งอากาศร้อน ทำให้ฝุ่นต่าง ๆ ลอยขึ้นไปอยู่ในอากาศ คลื่นแสงสีน้ำเงินถูกบดบังไปหมด ถ่ายรูปออกมา ทำให้สีฟ้านั้นไม่ค่อยฟ้า ฟ้าจะออกตุ่น ๆ ไม่ค่อยใส

ท้องฟ้าตอนเช้าและก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า



เวลาใกล้รุ่งและพลบค่ำ แสงอาทิตย์ทำมุมลาดขนานกับพื้นโลก แสงเดินทางผ่านมวลอากาศเป็นระยะทางไกลมาก อุปสรรคที่ขวางกั้นในอากาศมีมาก เพราะมลพิษ และฝุ่นที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ แสงสีม่วง สีคราม และสีน้ำเงิน ที่มีความยาวคลื่นสั้นนั้นไม่สามารถเดินทางผ่านโมเลกุลอากาศมาได้ จึงกระเจิงหายไปหมด แต่แสงสีเหลือง ส้ม และแดง มีความยาวคลื่นมาก สามารถทะลุผ่านโมเลกุลของอากาศเข้ามายังพื้นโลกได้ ทำให้เรามองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีส้ม และมองเห็นท้องฟ้าในบริเวณทิศตะวันตก หรือด้านดวงอาทิตย์นั้นออกเป็นสีเหลือง ๆ ส้ม ๆ แดง ๆ     

ถ้าวันไหนอากาศร้อน ทำให้มีฝุ่นมากเป็นพิเศษ ดวงอาทิตย์จะมีสีแดงจัด ถ้าวันไหนมีฝุ่นน้อย ดวงอาทิตย์ก็จะเป็นสีเหลือง  แต่ถ้าวันไหนฟ้าใสไม่มีฝุ่นเลย เราก็จะมองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีสว่างจนแสบตาเหมือนในเวลากลางวัน ทั้งนี้เนื่องจากแสงทุกสีมีความเข้มสูงทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาได้มาก จึงมองเห็นรวมกันเป็นสีขาว 

การที่ช่วงเช้า กับช่วงเย็น ถึงแม้ดวงอาทิตย์จะทำมุมที่เท่ากัน แต่ปกติแล้ว ท้องฟ้าในช่วงเย็นมักจะมีสีที่เป็นสีแดงมากกว่าช่วงเช้า เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือ ตอนบ่ายอากาศมีอุณหภูมิสูงมาก ทำให้ฝุ่นละอองต่างๆ ที่สะสมมาทั้งวัน ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศมากกว่าตอนเช้า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ในช่วงเช้านั้นฝุ่นละอองในอากาศถูกชะล้างด้วยน้ำค้างตอนรุ่งสาง เคยได้ยินไหมครับว่า เวลาไปออกกำลังกายตอนเช้า ๆ อากาศสดชื่นดีจัง นั่นเป็นเพราะว่าฝุ่นมันน้อยกว่าช่วงเย็นนั่นเอง

ดังนั้นตอนเย็นจึงมีการกระเจิงของแสงสีแดงให้เราเห็นได้มากกว่านั่นเอง สำหรับพวกเราที่ชอบถ่ายภาพแสงที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ก็คงจะทราบเหตุผลกันแล้วนะครับ ดังนั้นเราจะได้ยินคำว่า ไปถ่ายพระอาทิตย์ตก มากกว่าไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น เพราะว่า ถ่ายออกมาแล้ว จะได้แสงที่มีสีแดงสด และเข้มกว่านั่นเอง

ใครอยากติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ อัดเสียง สามารถติดตามได้ที่เพจ สอนถ่ายภาพ หรือเว็บไซต์ สวยเทพ ครับ

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ทำไมอวกาศ นอกโลก ถึงเป็นสีดำ?

ทำไมอวกาศ นอกโลก ถึงเป็นสีดำ?


ทำไมเวลากลางคืน เรามองไปบนท้องฟ้า ถึงเห็นเป็นสีดำ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มีดาวอีกมากมาย นอกจากดวงอาทิตย์ของเรา ดาวแต่ละดวง ก็ส่องแสงแรงมาก บางดวงใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เป็นล้าน ๆ เท่า

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการถ่ายรูปละ? จู่ ๆ ผมก็นึกวิธีการถ่ายรูปกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพมือใหม่มากมายไม่ค่อยชอบ เนื่องจากแสงมันน้อย ถ่ายยาก . . . แต่ถ้าเล่นกล้อง หรือถ่ายภาพไปนาน ๆ แล้ว ก็จะนิยมชมชอบการถ่ายภาพในช่วงเวลากลางคืนมาก ๆ เพราะมีเสน่ห์ และสนุกกับการเล่นแสงในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายพลุ ดอกไม้ไฟ ดวงดาว หรือแสงจากตึกรามบ้านช่อง

มาถึงคำถามของเราว่า ทำไมอวกาศถึงเป็นสีดำ?

จริง ๆ แล้วนะครับ นี่เป็นคำถามที่นักวิทยาศาสตร์มากมายไตร่ตรองมานานหลายศตวรรษแล้ว

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เวลากลางวันท้องฟ้า ทำไมถึงเป็นสีฟ้า หรือเป็นสีขาวบนโลก คำตอบก็คือ เนื่องจากแสงจาก "ดวงอาทิตย์ที่ใกล้โลกที่สุด" (ก็คือ Sol หรือ Sun หรือดวงอาทิตย์ของเรานั่นเองนะครับ จริง ๆ แล้วดาวที่เราเห็นทุกดวงนั่นคือดวงอาทิตย์ทั้งหมด) แสงจากดวงอาทิตย์นั้น กระทบกับโมเลกุลของอากาศ (บนโลกมีอากาศนะ) ในชั้นบรรยากาศของโลก และกระจายไปทุกทิศทุกทาง สีฟ้าของท้องฟ้าเป็นผลมาจากกระบวนการกระเจิงนี้

ส่วนตอนกลางคืน เมื่ออีกด้านหนึ่งของโลกหันหน้าออกจากดวงอาทิตย์ พื้นที่ในประเทศเหล่านั้นก็จะเป็นสีดำ เพราะไม่มีแหล่งกำเนิดแสงที่สว่างมากเพียงพอกับดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่งส่งแสงออกมาแล้วก็กระทบกับอากาศเพื่อสะท้อนแสงเข้ามาสู่ตาของเรา . . . .  เคยดูหนังวิทยาศาสตร์ที่เป็นยานอวกาศกันไหมครับ ตอนที่ยานล่องลอยอยู่ในอวกาศ นอกยานจะเป็นสีดำ (เนื่องจากไม่มีอากาศ) แต่ผิวของยานจะสะท้อนกับแสงที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์เป็นสีขาว (หรือสีของตัวยาน)

ส่วนหนังที่ถ่ายบนดวงจันทร์ ซึ่งไม่มีบรรยากาศ (หรืออากาศ) ท้องฟ้าจะเป็นสีดำทั้งกลางวันและกลางคืน เราลองนึกถึงหนังที่เราเคย ๆ ดูนะครับ คงจะพอจำกันได้

คราวนี้มาอธิบายส่วนที่ยากขึ้น ถ้าจักรวาลเต็มไปด้วยดวงดาวที่มีขนาดใหญ่มากมาย ทำไมแสงจากดาวทุกดวงจึงไม่รวมกัน แล้วส่องมายังโลกเพื่อทำให้ทั้งท้องฟ้านั้นสว่างตลอดเวลา จริง ๆ เวลาที่เรามองเห็นดาวแต่ละดวงนะครับ ก็แปลว่าแสงจากดวงดาวนั้นเดินทางมาถึงโลก ไม่งั้นเราคงมองไม่เห็น . . . ถ้างั้นก็แปลว่าแสงจากดาวจำนวนมากมายมหาศาล ได้เดินทางมาถึงโลกแล้ว เราถึงมองเห็น

เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือว่า "เอกภพ" (สมัยก่อนเรียกว่าจักรวาล แต่หลัง ๆ นิยมใช้คำว่าเอกภพ หรือ Universe มากขึ้น เพราะมีความเชื่อจากหลายทฤษฎีว่า อาจจะมี Multiverse ซึ่งยังไม่รู้จะแปลว่าอะไรดี บางคำใช้คำว่า "สหภพ" บางคนใช้คำว่า "พหุภพ"  บางคนก็เรียกว่า "มัลติเวิร์ส" ไปเลย . . เอกภพ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ มีขนาดใหญ่มาก และไม่จำกัด เราก็คาดหวังว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนจะสว่างจากแสงของดาวเหล่านั้นทั้งหมด แต่ทุกทิศทางที่เรามองในอวกาศ หรือแม้กระทั่งส่งกล้องออกไปนอกโลก เพื่อดูดาว มองยังไงก็เจอแต่พื้นที่สีดำ ๆ ทั้งนั้น จะเห็นก็แค่ดาวอยู่ไกล ๆ เป็นจุดสว่างเท่านั้น ดาวที่ใกล้โลกเราที่สุด (นอกจากดวงอาทิตย์) ก็อยู่ไกลถึง 2 ปีแสง (1 ปีแสง = 9,460,730,220,120 กิโลเมตร)

คำอธิบายต่าง ๆ มากมายที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือเอกภพนั้นยังเกิดขึ้นมาไม่นานเท่าไหร่ อายุประมาณ 13.8 พันล้านปี นั่นหมายความว่าเราสามารถมองเห็นวัตถุได้ไกลที่สุดเท่าที่แสงระยะทางสามารถเดินทางได้ใน 13.8 พันล้านปี โดยเริ่มต้นจากจุดจุดเดียวคือ Big Bang แล้วขยายออกไปเรื่อย ๆ ดังนั้น แสงจากดวงดาวที่เดินทางห่างออกไปเรื่อย ๆ ก็ยังเดินทางมาไม่ถึงโลกเรา และไม่สามารถมีส่วนทำให้ท้องฟ้าสว่างได้ นั่นคือดาวที่ส่องแสงมาไม่ถึงโลกเลย

ส่วนดาวที่ส่องแสงมาถึงโลกนั้น เป็นเพราะเมื่อดาวที่ส่องแสงมายังโลกกำลังเคลื่อนที่ออกไปไกลขึ้น ความยาวคลื่นของแสงนั้นจะยาวขึ้น (แปลว่าแสงสีแดงมากขึ้น) ซึ่งหมายความว่า แสงจากดาวดวงที่เคลื่อนห่างจากเราออกไปจะเปลี่ยนจากแสงในสเป็กตรัมที่มนุษย์มองเห็น เปลี่ยนไปเป็นสีแดง และเปลี่ยนต่อไปเรื่อย ๆ จนเป็นความยาวคลื่นที่มนุษย์มองไม่เห็นเลย  . .  ปรากฏการณ์นี้คล้าย ๆ กับเมื่อรถพยาบาล หรือรถตำรวจวิ่งเข้ามาหาเรา เสียงจะเป็นแบบหนึ่ง แต่เมื่อแซงเราไป เราก็จะได้ยินเสียงไซเรนที่เป็นเสียงที่แปลกออกไป และเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อรถพยาบาลเดินทางไกลออกไปจากตัวเรา นั่นเอง

สรุปก็คือ การที่ท้องฟ้าเป็นสีดำ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยนะ แต่ประกอบด้วยคลื่นสเป็กตรัมที่เรามองไม่เห็น จึงเห็นเป็นสีดำ ถ้าจินตนาการไม่ออก ลองนึกถึงคลื่นโทรศัพท์มือถือนะครับ มีคลื่นมากมายอยู่รอบตัวเรา แต่ตาของมนุษย์เรามองไม่เห็น  อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือคลื่นเสียง เสียงบางความถี่นั้น มนุษย์เราได้ยิน แต่เสียงบางความถี่ มนุษย์เราไม่ได้ยิน แต่จะมีสัตว์บางประเภท สามารถได้ยินได้

ใครอยากติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ อัดเสียง สามารถติดตามได้ที่เพจ สอนถ่ายภาพ หรือเว็บไซต์ สวยเทพ ครับ

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

โหมด Ionian และโหมด Aeolian ในทางดนตรี

โหมด Ionian และโหมด Aeolian ในทางดนตรี



คุยสบายๆ เกี่ยวกับโหมด Ionian และโหมด Aeolian ในทางดนตรี ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือสเกล Major และ Minor ที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง

พร้อมทั้งคุยให้ฟังเกี่ยวกับสเกลไมเนอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น Natural, Harmonic และ Melodic Minor




วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563

สเกล ซีเมเจอร์



ในวันนี้ผมก็จะมาแนะนำการไล่สเกลกีตาร์ ที่มือใหม่ทุกคนจะต้องรู้จักนะครับ นั่นก็คือสเกลนี้ครับ โดเรมีฟาซอลลาทีโด หรือ C D EF G A BC หรือสเกลธรรมดาธรรมดาอย่างนี้นะครับ

สเกลแบบนี้มีชื่อว่า สเกล C เมเจอร์หรืออีกชื่อนึงก็จะเรียกว่าสเกลแบบไดอาโทนิค ซึ่งเป็นสเกลที่พื้นฐานที่สุดเลยที่นักดนตรีทุกคนจะต้องรู้จักนะครับ

ในสเกลนี้นะครับ เสียงที่ 1 กับเสียงที่ 2 ตัว ห่างกัน 1 เสียง เสียงที่ 2 กับเสียงที่ 3 ห่างกัน 1 เสียงนะครับ จากนั้นเสียงที่ 3 และเสียงที่ 4 ห่างกันครึ่งเสียง (E กับ F) นะครับ แล้วก็ห่างกัน 1 เสียงไปเรื่อยๆ จนถึงตัวสุดท้าย ที่เป็นตัว B กับตัว C ห่างกันครึ่งเสียงนะฮะ นี่ก็เป็นการไล่สเกลแบบง่ายๆ นะครับ

ถ้าเป็นการเล่นบนเปียโน ก็จะเป็นการเล่นคีย์สีขาวทั้งหมดเลย ไม่มีตัวชาร์ปไม่มีตัวแฟลตนะครับ นี่เป็นการไล่ Scale เบื้องต้นที่ทุกคนจะต้องรู้จักนะครับ

คราวนี้เวลาเราไล่สเกลบนกีต้าร์ นอกจากจะไล่ที่ช่อง 1 ไปจนถึงช่อง 3 ซึ่งเป็นช่องมาตรฐานที่สุดนะครับ เราก็ต้องหัดไล่สเกลแบบนี้ในหลาย ๆ ตำแหน่งในการเล่นกีต้าร์ด้วย เพื่อที่เราจะมีความคล่องแคล่วในการเล่นนะครับ

ในวันนี้ผมก็จะมาเล่นคอร์ด C Am F G7  ให้พวกเราได้ยินเสียงกันนะครับ นี่ก็เป็นการเล่นคอร์ด C Am F G7  นะครับ การเล่นคอร์ดวนไปวนมาแบบนี้นะครับ ในทางดนตรีนึกว่าคอร์ด "วน" นะฮะ หรือเล่นเป็น "ลูป"  หรืออีกคำหนึ่งเขาเรียกว่าเป็น Chord Progression นะครับซึ่งถ้าเกิดเราไปค้นหาจากใน Google นะคำว่า  Chord Progression คีย์ C ก็จะได้หลายแบบมี C Am F G7, C Am Dm G7  นะฮะ หรือบางทีก็อาจจะเป็น C Dm Em Dm  แล้วกลับมา C นะครับ มีเต็มไปหมดเลยนะฮะ บางแบบก็จะเป็น C G Am F นะครับ


ในวันนี้ผมก็มาแสดงการเล่นให้แฟน ๆ ได้ฟังกันนะครับ จะได้คุ้นๆ กับการเล่นกีต้าร์นะครับ ไว้พบใหม่ในตอนหน้าครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ยินดีต้อนรับ

สวัสดีครับ วันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะเปิดตัวบล็อกใหม่บล็อกนึงนะครับ ซึ่งเป็นบล็อกเกี่ยวกับเรื่องของภาพและเสียง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนะครับ 

ผมใช้ชื่อว่า avamusement ย่อมาจาก A ก็คือ Audio ก็คือเสียง ซึ่งคือทุกอย่างเกี่ยวกับเสียงเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอัดเสียง ปรับแต่งเสียงนะครับ 

ส่วน V ก็คือเรื่องของวีดีโอหรือภาพนั่นเอง ภาพก็เกี่ยวกับภาพนิ่ง การถ่ายภาพ ภาพเคลื่อนไหว คลิปวิดีโอ การทำวิดีโอ การถ่ายทอดสด การทำ Streaming ทุกอย่างเลยก็ว่าได้นะครับ 

ส่วนเรื่องของ Amusement ที่ผมเลือกใช้คำนี้ จริงๆ กะจะใช้คำว่า Entertainment แต่ว่ามันจะครอบคลุมเกี่ยวกับความบันเทิงมากเกินไปนะครับ ผมก็จะเลยเอาคำว่า Amusement ก็พอนะฮะ จริงๆ แล้วตัวผมเองนี้ ขอบอกว่าชอบไปเที่ยวสวนสนุก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Amusement Park เช่นพวกดิสนีย์แลนด์ ดิสนีย์เวิลด์ พวก Universal Studios นะฮะ 

แล้วก็เป็นพวกที่เล่นกล้องกับพวกเครื่องเสียงมานาน ส่วนภาพต่างๆที่ไปถ่ายมา ก็จะเกี่ยวกับพวกสวนสนุกเนี่ยซะเยอะ ก็เลยใช้คำว่า Amusement เป็นชื่อของบล็อกของเรานะครับ โดยจะพูดคุยทุกอย่างเลย ทั้งด้านภาพ ด้านเสียง แล้วก็เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอะไรอย่างนี้นะครับ 

สำหรับเหตุผลที่มาทำบล็อกนี้ และพอดแคสต์นี้ ทั้งๆ ที่ทำวีดีโอออกมาเป็นร้อยๆ ตัวแล้ว สาเหตุเพราะว่าการทำวีดีโอให้ชมนั้นเสียเวลาเตรียมการมากนะครับ จึงไม่สามารถทำออกมาได้บ่อยๆได้ เพราะกว่าจะได้ออกมาตอนนึงเนี่ย ต้องวางแผน ต้องเขียน Script 

พอทำสิ่งเหล่านั้นเสร็จปั๊ป ก็ต้องยกไฟออกมาตั้งหลายดวง จากนั้นเตรียมกล้อง เตรียมไมโครโฟน แล้วก็แต่งตัวแต่งหน้า จากนั้นก็เริ่มลงมือถ่าย เวลาถ่ายเสร็จก็เอาวีดีโอที่ถ่ายได้นั้นมาตัดต่อ โอ้โหเป็นช่วงที่หินสุดๆ ฮะเพราะว่าใช้เวลานานมาก มีครั้งหนึ่งผมตัดต่อคลิปนึง ความยาวของคลิปอยู่ที่ประมาณ 10 นาที แต่ใช้เวลาตัดต่อจริงไปทั้งวันเลย 

เพราะว่าจริงๆ แล้วงานตัดต่อ มันใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะนำวีดีโอมาตัดโน่น ต่อนี่ เอาภาพประกอบมาใส่ เอาข้อความประกอบโน่นนี่นั่น แล้วทำให้สวยเนี่ยใช้เวลาเยอะมากครับ

ผมก็เลยอยากจะทำช่องพอดแคสต์  ขึ้นมาสักช่องนึงเพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อกับแฟนๆ ผลก็คือ ช่องพอดแคสต์นี่แหละครับ เพราะมันไม่ต้องโชว์ภาพ ผมก็คุยให้ฟังไปเรื่อยๆเหมือนรายการวิทยุ ผู้ฟังก็ฟังแต่เสียง  ต่อไปจะได้มาพบกันบ่อยๆ ได้

สำหรับสิ่งที่อยากจะคุยกันในวันนี้ ก็แค่จะมากล่าวทักทายนะครับ แล้วก็ผมก็จะพยายามทำเป็นบล็อกด้วยนะครัย สำหรับคนที่ไม่ถนัดในการฟัง หรือว่าต้องการที่จะอ่าน ก็สามารถที่ติดตามผมได้นะครับ 

ตั้งแต่ระบบออนไลน์เกิดขึ้นมา มีคำว่าบล็อก กับคำว่าเว็บ 2 อย่างนี้ ต่างกันยังไง เพราะว่าเรากำลังจะทำทั้งเว็บ และบล็อกเลยนะครับ จริงๆ นะทั้งบล็อกและเว็บ ผมก็มีของเก่าอยู่แล้วนะฮะ แต่เนื่องจากเพราะว่าเนื้อหามันกระจายมากเกินไป ก็เลยอยากที่จะทำบล็อกใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คนติดตาม

คำว่าเว็บนั้นมาจากคำว่า world wide Web หรือ www อ่านว่า w w w  สิ่งนี้เกิดขึ้นมาประมาณซัก 30 ปีแล้ว ผมเล่นเว็บครั้งแรก ก็ตอนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ นะฮะ ก็ตื่นเต้นมาก เว็บแรกที่เข้าในชีวิตก็คือ www.toyota.com นะฮะ ไปดูรูปรถยนต์ เปิดขึ้นมาแล้วมันก็ค่อยๆ ไหลมาช้าๆ ทีละเส้นทีละเส้น จนท้ายที่สุดรูปรถยนต์โผล่มาเต็มคันบนหน้าจอ โห แบบว่าตื่นเต้นมากๆๆๆ ยังจำได้ถึงความรู้สึกสมัยนั้นที่เข้าเว็บครั้งแรกมาจนถึงเดี๋ยวนี้เลยครับ

จากนั้นนะครับ ก็มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ เกิดเป็นเว็บมากมาย เป็นล้านๆ  เว็บเลยนะ ดูเท่าไหร่ก็ดูไม่หมด สมัยก่อน เวลาเล่นอินเทอร์เน็ต เขาก็เรียกว่าท่องเว็บกันนะครับ

การทำเว็บเนี่ย สมัยก่อนหลายคนก็รู้สึกมันยากนะ เพราะมันต้องออกแบบ แล้วการออกแบบนั้นก็ทำบนจอภาพขนาดใดขนาดหนึ่ง สมมุติถ้าเกิดคนดูเว็บเข้าไปโชว์ ในหน้าจอที่ขนาดหน้าจอมันไม่ตรงกับที่เราออกแบบไว้ ตัวหนังสือมันก็เพี้ยน หน้าจอมันก็เบี้ยวเละๆ จากที่เราทำซะสวยนะ มันก็เละเทะไปหมดนะครับ จากนั้นก็เลยพัฒนากลายเป็นรูปแบบของ "บล็อก" ขึ้นมา ซึ่งสามารถที่จะโชว์ได้ในเกือบทุกแพลตฟอร์มเลยทีเดียว ไม่ว่าจะหน้าจอใหญ่ หน้าจอเล็ก หน้าจอแนวนอน แนวตั้ง หรือแม้กระทั่งโชว์ในมือถือ

เรียกว่าบล็อกนั้นเข้ามาเสริมการทำเว็บ ได้อย่างดีทีเดียว การทำบล็อกแบบง่ายๆ ที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้เนี่ย นับว่าเป็นการทำบล็อกที่ง่ายที่สุด ซึ่งผมอยากจะเล่าให้ฟังว่าผมใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง จริงๆี แล้วก็ไม่ใช้อะไรเลย ใช้มือถือเครื่องเดียวจบ ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ต้องออกแบบ ไม่ต้องทำอะไรเลย้ แล้วผมก็อยากแนะนำวิธีการทำบล็อกแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้มือพิมพ์เนื้อหาด้วย ผมใช้พูดเอานะฮะ แล้วโปรแกรมมันแปลงสิ่งที่ผมพูดทั้งหมดเป็นตัวหนังสือให้เอง

สรุปก็คือ็ ทุกอย่างทำจากในมือถือนั่นแหละ ออกมาเป็นบล็อกเลยนะ เราก็มีหน้าที่เตรียมเนื้อหาอย่างเดียว เสร็จแล้วเราก็พูดไปเรื่อยๆ มันก็แปลงเป็นข้อความให้เอง แล้ววันหลังที่เราว่าง ค่อยเอารูปภาพไปใส่เพิ่มทีหลังครับ อันนี้ก็คือเรื่องของบล็อก ธรรมดาธรรมดาำ

ปัจจุบันก็พัฒนากลายเป็น vlog มาจากคำว่าวิดีโอ+บล็อก ซึ่งก็คือบล็อกชนิดหนึ่ง แต่ว่าใช้วีดีโอในการทำซึ่งหลายคนก็ทำอยู่นะครับ บางคนทำไปทำมา พัฒนากลายเป็นช่อง YouTube เลย โดยที่เริ่มแรกทำจากโทรศัพท์แบบง่ายๆนะ ใช้โทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวถ่ายตัวเอง ถ่ายไปถ่ายมาแล้วก็มีคนติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยอัพเกรดอุปกรณ์ Hardware อุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น ทั้งด้านภาพ ด้านเสียง ด้านแสง แล้วก็พัฒนาไปพัฒนามาเป็นช่องวีดีโอทาง YouTube Facebook ที่มีคนติดตามเป็นล้านๆคนก็เยอะนะครับ

เพื่อนๆ ผมก็มีหลายคนที่เริ่มจากการพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วอัดเป็นวีดีโอ แล้วก็โพสต์ลงไปเกือบทุกวัน อาทิตย์นึงก็หลายคลิปอยู่เหมือนกันนะครับ้ ปัจจุบันนี้ก็มีคนติดตามเยอะจนเป็นหลักล้าน แล้วก็มีการพัฒนาไปเรื่อยเรื่อยนะครับ 

จากสิ่งที่ตัวเองทำ เพื่อนทำ ผมเลยนำมาเล่าให้ฟังกันในบล็อก โดยจะทำแบบย้อนยุคเล็กน้อย ก็คือทำเป็นตัวหนังสือนะครับ นอกจากนี้ก็ยังมีการอัดเสียง ทำเป็นพอดแคสต์เผยแพร่ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟังเสียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีภาพนะครับ

โอเค สำหรับวันนี้ก็คงจะมาคุยกัน เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ พบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ สวัสดีครับ 

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เครื่องมือในการเขียนบล็อก

วันนี้เราก็จะมารู้จักเครื่องมือในการเขียนบล็อกที่ง่ายที่สุด สามารถเขียนได้ในทุกสถานที่เลยนะครับ  ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือของเรานั่นเอง  ในวันนี้ผมก็ใช้ app หรือ Application ที่ชื่อว่า Speechnotes ในการเขียนบล็อกนะครับ


การใช้แอพพลิเคชั่นตัวนี้มีข้อดีที่ว่าเราสามารถที่จะเขียนข้อความต่างๆได้มากมาย และรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องพิมพ์เอง ซึ่งวิธีการนั้นก็ใช้วิธีการพูดโดยตรงเข้าไปที่โทรศัพท์มือถือ จากนั้น App ก็จะพิมพ์ออกมาให้เองเป็นภาษาไทยเลยครับ

ส่วนเรื่องของความถูกต้องและความแม่นยำของการพิมพ์ด้วย App นี้นะครับ ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ผมพูดไปประมาณ 1 ย่อหน้าแล้วก็มาตรวจสอบนะครับ ปรากฏว่าต้องแก้ไขแค่ 2-3 คำเท่านั้นเอง
ถ้าสามารถทำลักษณะนี้ได้เรื่อยๆ นะครับ สมมุติว่าเราเขียนบล็อกวันละ 1 หน้า ทุกวันเป็นเวลา 1 ปีเราก็จะได้บล็อกถึง 365 หน้าเลยทีเดียว นับว่าเยอะมากๆ เลยนะครับ เท่ากับผมเขียน Blog มาประมาณ 10 กว่าปีเลยทีเดียว
นับว่าเป็นแอปที่มีประโยชน์มากเลยนะครับ ผมลองใช้ App ตัวนี้เพียงแค่ไม่กี่วันก็ต้องไปซื้อ App ตัวเต็มมาใช้เลย ซึ่งราคาก็ไม่แพงนะครับไม่กี่ดอลลาร์เท่านั้นเอง แล้วเราก็จะสามารถพูดได้อย่างไม่จำกัด และไม่มีโฆษณาลอยมารบกวนเราด้วยครับ

เรื่องของโฆษณาเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเสียศูนย์ไปหลายครั้งแล้ว โฆษณานั้นจะคอยมารบกวนใจเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะดูละคร เช่นดู YouTube หรือฟังเพลง หรือจะเล่น Facebook ธรรมดา สมัยแรก ๆ การเล่น Facebook นั้นไม่มีโฆษณามากวนใจ แต่เดี๋ยวนี้เล่นไปเล่นมา มีแต่โฆษณาเต็มไปหมด จนแทบจะอยากเลิกเล่น Facebook เลยทีเดียว ตอนนี้เลยหันมา ตอนนี้เลยหันมาเขียนบล็อกแทน ซึ่งจะทำให้ใช้เวลาในการเข้าไปท่องในโลก Facebook น้อยลง
โดยมีจุดมุ่งหมายจริงๆ แล้วก็คืออยากจะนำความรู้ทุกอย่างที่ตัวเองมี ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม ถ่ายทอดออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วิธีการหนึ่งก็คือการทำบล็อกและการทำเว็บไซต์ รวมทั้งอาจจะมีช่อง YouTube Channel และพ็อดแคสต์อีกเล็กน้อย

ยังไง ก็คอยติดตามกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ข้อควรระวังในการทำบล็อก

สำหรับการทำบล็อกด้วยโทรศัพท์มือถือนั้น มีข้อควรระวังในการทำบล็อกดังนี้คือ
1 ตัวหนังสือเล็กเกินไป
2 รูปแบบการจัดเรียงนั้นไม่สวยงาม ไม่เหมาะกับการดูในโทรศัพท์มือถือ

ดังนั้นในบล็อกนี้ ผมจะพูดคุยวิธีการอัดเสียงเพื่อทำบล็อกโดยตรงจากโทรศัพท์มือถือ โดยการพูดโดยตรงเข้าไปใน blogger เลย ซึ่งการทำในลักษณะนี้ก็สามารถพูดได้ทีละ 1 ประโยค ต่างกับการอัดด้วย Speechnotes ซึ่งพูดไปเรื่อยๆได้ แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ เราก็ไม่ต้องระวังเรื่องตัวหนังสือเล็กเกินไป

ยังไงลองดูผลลัพธ์นะครับว่าได้ผลหรือเปล่า แล้วในวันพรุ่งนี้ผมก็จะมาแชร์เรื่องอื่นต่อไป


ทักทาย


วันนี้ก็เป็นวันแรกในการที่สมาชิกในครอบครัวที่บ้านไปทำงานที่ทำงานนะครับ ที่จริงแล้วก็ทำงานที่บ้านหรือ Work from home มาตลอดช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากว่ามีการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือที่เรียกกันว่าโรค covid 19 ระบาดไปทั่วโลก ในช่วงเวลานี้ หลายคนก็รู้จักการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอปบนโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ค ในการประชุมระยะไกล หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กันอย่างคล่องแคล่วนะครับ . . .

การระบาดของ ไวรัสโคโรน่าปี 2019 มีความรุนแรงมากซึ่งระบาดไปทั่วโลก หลายประเทศก็มีเปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตสูงพอสมควร ประเทศสูงถึงเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวของผู้ติดเชื้อ 

สำหรับในประเทศไทย การระบาดของโรคไวรัส 2019 นั้น ก็มีตัวเลขที่ไม่ได้สูงมากนัก รวมทั้งหมดก็เป็นหลักไม่กี่พันคน ผู้เสียชีวิตก็ถือว่าต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับทั่วโลก ทัังนี้ อาจเกิดขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ ซึ่งบางคนบอกว่าประเทศไทยมีหมอ และโรงพยาบาลที่ดีและมีความสามารถสูง กอปรกับประเทศไทยเป็นประเทศในภูมิภาคเขตร้อน ซึ่งเชื้ออาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการติด และทำให้เสียชีวิตได้ง่ายเท่ากับประเทศในแถบที่มีอากาศหนาว 

อีกปัจจัยหนึ่งคือรัฐบาลไทยได้ปิดกั้นสถานที่ที่มีชุมชนหนาแน่นทุกแห่งในประเทศ และให้ทุกคน work from home มาตั้งแต่ระยะที่ยังไม่มีคนติดเชื้อมากนักซึ่งทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ดีทีเดียว นับเป็นความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทย นับเป็นความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทย ทุกคนก็มีความภูมิใจ

วันนี้ผมก็นอกเรื่องไปมาก ตอนนี้ ก็จะมา พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผมรู้ และมีความถนัด คือเรื่องของภาพและเสียง

ภาพนั้นก็มีตั้งแต่ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่งก็คือการถ่ายภาพนั่นเองไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพด้วยกล้องใหญ่ กล้องเล็ก กล้องมือถือ กล้องดิจิตอล กล้องฟิล์มหรือกล้องต่าง ๆ ล้วนมีพื้นฐานแบบเดียวกัน 

ส่วนเรื่องของวีดีโอก็คือการนำภาพนิ่งหลายๆ ภาพมาปะติดปะต่อกันและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีลักษณะเหมือนเป็นภาพเคลื่อนไหวนั่นเอง ถ้าหากว่าเรามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพนิ่งให้สวยแล้ว การที่จะทำให้ภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอของเรานั้นมีความสวยงามก็จะเป็นสิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติมได้ไม่ยาก

คราวนี้มาพูดถึงเรื่องของเสียงกันบ้าง เสียงนั้นก็มีตั้งแต่เสียงพูด เสียงคุย เสียงดนตรี โดยที่แรกเริ่ม เขาก็จะมาคุยกันถึงเรื่องของเสียงที่ใช้ในการบันทึก โดยอาจจะบันทึกไปใช้ในการทำพอดคาสต์หรือการทำวีดีโอ เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจดีแล้ว ก็จะไปคุยกันถึงเรื่องของเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงเครื่องดนตรีกันบ้าง

เมื่อพูดถึงเรื่องของดนตรีแล้ว ผมก็อยากจะแนะนำวิธีการเล่นเครื่องดนตรีสัก 2-3 อย่าง ซึ่งก็คงจะเป็นสิ่งที่ผมถนัดและเล่นมาอย่างเชี่ยวชาญ นั่นก็คือกีตาร์และเปียโนนั่นเอง โดยจะขอแนะนำการเล่นขั้นพื้นฐาน และอาจจะมีการแทรกทฤษฎีดนตรีเข้าไปบ้างเล็กน้อยถึงมากพอสมควร เพื่อทำให้สามารถประยุกต์ใช้ในการเล่นดนตรีของตัวเองได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลินกันต่อไป

ค่อยพบกันนะครับ